...คนที่มาเรียนกฎหมายก็มีบุคลิคภาพหลายแบบ...
...มีแรงจูงใจหลายแบบ..
...
บางคนมีบุคลิคแบบ Agressive ศึกษากฎหมายเพื่อต่อสู้ ..บางคนมีบุคลิก"ขี้กลัว"เลยมาเรียนเพื่อ protect ตัวเอง...บางคนก็ชอบประนีประนอม (compromise)
หาข้อยุติความขัดแย้งแบบปรองดอง...บางคนก็มีบุคลิคแบบ"ศิลปิน"(artist) มาเรียนกฎหมายเพราะชอบภาษา ภาษาสวย...
....
แรงจูงใจในการมาเรียนก็มีหลายแบบ
...บางคนก็มาเรียนเพราะชอบปกป้องพวกพ้อง เพราะกฎหมายมันสามารถใช้เป็นศาสตราวุธ เพื่อปกป้องพวกพ้อง...บางคนไม่ชอบความเหลื่อมล้ำ ไม่ชอบความไม่ยุติธรรม ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ (change)...
บางคนมาเรียนเพราะอยากประกอบวิชาชีพที่มีรายได้ดี มั่นคง..บางคนมาเรียนเพราะหนีคณิตศาสตร์
....
#แต่อย่างไรก็ตาม...เมื่อเข้ามาเรียนกฎหมายแล้ว
ไม่ว่าคุณจะมีบุคลิกแบบใด หรือมาด้วยแรงจูงใจแบบใดก็ตาม...ถ้าการเล่าเรียนของคุณ "#เข้มข้นมากพอ" (เข้มข้นทั้งในแง่อารมณ์ จิตวิญญาณและความรู้)
..สิ่งที่คุณจะได้ติดตัวไปคือสิ่งดังต่อไปนี้
...
๑.#จะทำอะไรต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอ
.
....ไม่ว่าคุณจะมีบุคลิกภาพแบบใด ก้าวร้าวโผงผาง นิ่มนวล/ ขี้กลัว /มีความเป็นผู้นำ /ชอบเป็นผู้ตาม/เจ้าอารมณ์
..คุณจะถูกสอนเหมือนๆกัน คือ จะทำอะไรต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอ คุณจะได้รับการฝึกแบบนี้จนเรียนจบ
เช่น การอ่านการศึกษาเค้าจะมี คำพิพากษาศาลฎีกา มายกตัวอย่างประกอบเสมอๆ ซึ่งในคำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านั้นศาลจะให้เหตุผลเสมอ ดังนั้นคุณจะจะได้ทักษะการใช้เหตุผลโดยไม่รู้ตัว/หรือ/ในการตอบข้อสอบกฎหมายถ้าคุณตอบข้อสอบคุณต้องให้เหตุผลเสมอ
ถ้าคุณตอบคำถามถูกแต่ไร้ซึ่งเหตุผล หรือใช้เหตุผลข้างๆคูๆ คุณก็อาจจะสอบตก หรือหากผ่านก็ได้คะแนนน้อยมาก
...ทีนี้แต่ละบุคลิคภาพก็จะเอาไปปรับใช้..เช่น คนที่ติสท์มากๆเน้นอารมณ์ความรู้สึด ก็จะเอาทักษะที่ได้ไปวิเคราะห์หาเหตุผลให้กับอารมณ์ของตนเอง หรือสนับสนุนความรู้สึกของตนเอง...คนที่มีบุคลิคแบบก้าวร้าว โผงผาง บางคนอาจจะมีความยั้งคิดมากขึ้น
เพราะฝึกใช้เหตุผลมาตั้งเยอะ บางทีความก้าวร้าวโผงผาง (aggressive) ก็ใช้ได้ดีเลยล่ะในวิชาชีพทนายความ...คนที่ขี้กลัวผู้ซึ่งชอบวางแผนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะใช้เหตุผลประกอบการวางแผนมากขึ้น
.
๒.#ทักษะในการจับประเด็น
.
ท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น จนเรา"#สำลักข้อมูล"
"จมอยู่กับข้อมูล...ตอนที่คุณศึกษาอยู่จนเรียนจบ คุณจะถูกฝึกให้จับประเด็น คุณจะสามารถดึงข้อมูลที่ท่วมท้นเหล่านั้นมาจัดระเบียบเรียบเรียงเป็นประเด็นได้...
...การฝึกจับประเด็นจะถูกสอนแบบอ้อมๆในวิชากฎหมายทุกวิชา / แต่เรื่อง "ประเด็น"จะถูกสอนมากเป็นพิเศษในวิชา "#พยานหลักฐาน" วิชานี้เขาจะสอนคุณตั้งแต่ ประเด็นมันเกิดขึ้นได้ยังไง /อะไรคือประเด็นที่ถกเถียงกัน/ประเด็นที่ถกเถียงกันอันใดที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบ/การสืบพยานหลักฐานก็ต้องเกี่ยวกับประเด็น ถ้าไม่เกี่ยวกับประเด็นศาลก็จะไม่รับฟัง
(มันนอกเรื่อง)
...
ทักษะนี้ช่วยผมได้มาก เพราะก่อนมาเรียนนิติศาสตร์ ผมชอบจมกับข้อมูล ว่ายวนๆในอ่าง / แต่พอได้ฝึกในการหาและจับประเด็นมันทำให้ชีวิต "ง่ายขึ้น"
ขั้นแรกวิเคราะห์ให้ได้ก่อนว่าประเด็นมันคืออะไร
เมื่อวิเคราะห์ได้แล้วว่าประเด็นมันคืออะไร ก็จะมาสู่เรื่องประเด็นนั้นมีข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวข้องบ้าง อะไรที่เกี่ยวข้องก็เก็บไว้ อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็เทมันทิ้ง
"ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย"
.
๓.ทักษะในการ #คิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking) และ #คิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking)
.
เวลาทำข้อสอบไม่ใช่เพียงแต่ตอบให้ถูกธงคำตอบ(ฟันธง)เท่านั้น ยั้งต้องให้เหตุผลประกอบธงคำตอบนั้นอีกด้วยว่า เหตุผลของธงคืออะไร.? และที่สำคัญมากกว่านั้นคือ การตีโจทย์หรือการวิเคราะห์โจทย์ให้แตกครับ
ต้องแจกแจงให้ได้อย่างแจ่มชัด...การฝึกตีโจทย์ให้แตกนี่แหละทำให้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเราได้รับการพัฒนา
.
นอกจากนั้น เวลาศึกษากฎหมาย ไม่ว่าจจะทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริง เราจะได้รับการฝึกให้คิดเชิงวิพากษ์อยู่บ่อยๆ /เกี่ยวกับปัญหาข้อเท็จจริงที่เราต้องฝึกคิดเชิงวิพากษ์อยู่บ่อยๆ เช่น วิชานิติเวชศาสตร์,วิชาสืบสวนสอบสวย,วิชาพยานหลักฐาน เป็นต้น
.
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่เราต้องฝึกวิพาษ์วิจารณ์บ่อยๆเช่น วิชานิติปรัชญา วิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย
ถ้าเป็นวิชากฎหมายทั่วไปสิ่งที่จะมักถูกนำมาเป็น
"วัตถุในการวิพากษ์" คือ คำพิพากษาศาลฎีกาครับ
ว่าศาลตัดสินถูกต้องหรือไม่ สมเหตุสมผลหรือไม่
.
ตัวกฎหมายต่างๆก็สามารถวิพากษ์ได้เช่นกัน เช่น
กฎหมายการทำแท้ง ดีหรือไม่ดี กฎหมายกัญชาดีหรือไม่ดี กฎหมายเกี่ยวกับการผ๔กขาดทางการค้าดีหรือไม่ดี เป็นต้น
.
#แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การศึกษาในระดับปริญญาตรี และเนติบัณฑิต จะเน้นศึกษา "การคิดเชิงวิเคราะห์"เป็นหลัก
เพราะเวลามันไม่พอที่จะศึกษาในหลายๆแง่มุม
.
ส่วนการ "#ศึกษากฎหมายเชิงวิพากษ์"จะมีการเรียนการสอนในระดับ ปริญญาโท ซะเป็นส่วนใหญ่ครับ
.
พอรู้ดั่งนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งรำคาญคนที่เป็นนักกฎหมายนะครับ ว่าทำไมพวกเธอนี่ ใช้เหตุผลเยอะจัง พูดไม่ต้องตรงประเด็นก็ได้มั๊งมันขาดรสชาติ /ไม่ต้องวิเคราะห์เยอะหรอก ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์เยอะหรอกมันเหนื่อย
.
คือเขาถูกฝึกมาแบบนี้มานานครับ เลยกลายเป็นนิสัยติดตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นระดับความเข้มข้นของทั้ง ๓ เรื่องดังกล่าวในนักกฎหมายแต่ละคนก็ไม่เท่ากันหรอกครับ
.
มนุษย์เรามีความหลายหลาย แค่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายของกันและกันได้ โลกก็จะน่าอยู่มากขึ้นมาอีก 1 level
.
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
.
Zolo~
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น