............
หลายๆท่านที่สนใจ จิตวิทยา อาจจะเพราะมันเกี่ยวข้องกับงานที่ทำเช่น เป็นนักจิตวิทยาคลีนิค นักสังคมสงเคราะห์/ หรือ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานหรอกก็แค่ #สนใจเฉยๆ นี่แหละ (แบบผมน่ะ ผมไม่ได้ทำงานด้านนี้หรอก แต่สนจายยยย)
.......
เวลาอ่านหนังสือต่างๆในแวดวง "#จิตวิทยา"(Psycology) จะคุ้นชินกับชื่อของ ซิกมุนฟรอยด์ กับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ และทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง อันโด่งดังและสร้างชื่อเสียงให้กับฟรอยด์เป็นอย่างมาก ฟรอยด์ ทำให้เรารู้จักคำว่า "#จิตสำนึก" "#จิตใต้สำนึก" "#จิตไร้สำนึก"
รู้จักวิเคราะห์แรงขับ (drive) รู้จักทฤษฎีความฝัน (เอาความฝันมาวิเคราะห์ได้ด้วย) ฟรอยด์ดังมากครับ ถ้าคำศัพท์สมัยนี้ต้องใช้คำว่า "#ปังมาก"
......
.......
#ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ผมเห็น #ปรากฏการณ์ (phenomena) อันนึง ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คือ มีคนสนใจเรื่อง MBTI เยอะมาก เยอะจนผม"ตกใจ" มีการตั้งกลุ่มขึ้นมาคุยกันทั้งวันอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นกลุ่มที่ ative สุดๆและสมาชิกก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
.
...ซึ่ง MBTI นั้นต่อยอดมาจากแนวคิดของ คุณ #คาร์ล #จุง ครับ
.
#MBIT คือ #อิหยังวะ.?
.
.
MBTI คือการจำแนกบุคลิกภาพครับ เค้าแบ่งบุคลลิกภาพคนออกเป็น 16 ประเภท ด้วยตัวอักษร 8 ตัว
แล้วคัดกรองออกมาให้เหลือ 4 ตัว ผมจะแบ่งออกเป็นคู่ๆนะ
..........
คู่ I กับ E = คือความเป็น introvert กับ extrovert
คู่ N กับ S = คือ การรับรู้ข้อมูลของคนเราว่าคุณถนัดแบบไหนแบบ intuition หรือแบบ sensing
คู่ T กับ F = คือ การตัดสินใจของคุณน่ะคุณสนใจตัวข้อมูลตรรกะเป็นสาระสำคัญ (thinking) หรือสนใจว่าการตัดสินใจนั้นมันจะกระทบต่อจิตใจผู้อื่นหรือไม่อย่างไร (feeling)
คู่ P กับ J = เป็น style การใช้ชีวิตครับ ว่าการใช้ชีวิตของคุณเป็นแบบชอบวางแผน หรือชอบด้นสด
(อันนี้ย่อมากๆ ถ้าอยากรู้เพิ่ม search หาคำว่า MBTI ใน google จะมีคำอธิบายอย่างละเอียดเลยล่ะ)
....
แต่พอเอาเข้าจริง ถ้าจะให้ผลการทดสอบ MBTI มันแม่นตรงใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด คุณก็ต้องไปศึกษาทฤษฎี cognitive function ของ #คาร์ล #จุง
คาร์ล จุง ได้อธิบายไว้ยืดยาวครับ ผมขอสรุปแบบรวบรัดเลยละกัน
1.#เรื่องการรับรู้
มนุษย์มีการรับรู้ข้อมูลภายนอกสองแบบครับ แบบแรกคือพวก sensing พวกนี้ประสาทสัมผัสดี อยู่กับความเป็นจริง ไม่ค่อยชอบอะไรที่เป็นนามธรรมชอบสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่น เรื่องรถ กีฬา เรื่องการทำอาหาร
คนที่เก่ง sensing ส่วนมากจะเป็นนักฟุตบอล ช่างซ่อมรถ วิศวกร นักบัญชี ศัลยแพทย์ ฯลฯ
.
อีกกลุ่มนึงคือ intuition ครับ คนกลุ่มนี้ชอบเรื่องนามธรรม ชอบจินตนาการ บางคนมี sixsense ด้วยนะ
บางคนความรับรู้มันผุดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แบบ
"ปิ๊งแว๊บๆ" คนกลุ่มนี้รับรู้ข้อมูลเสร็จไม่พอเค้าชอบจินตนาการครับ เช่น หากเห็นขวดน้ำวางอยู่ 3 ขวด
ขวดนึงน้ำเต็มขวดและปิดฝาไว้ อีกขวดน้ำเกือบเต็มขวดแต่เปิดฝาไว้ อีกขวดมีน้ำครึ่งนึงแล้วก็เปิดฝา
คนที่มีตัว N ในการรับข้อมูลก็จะคิดเตลิดไปว่า ขวดน้ำ 3 ขวดนีเก็เปรียบเสมือนการพัฒนาตัวเองของคน คนแรกเป็นน้ำเต็มขวดไม่ยอมเรียนรู้อะไรเลย คนที่สองหยิ่งหน่อยๆว่ารู้เยอะแต่ก็ยังเปิดใจเรียนรู้จากผู้อื่นอยู่
คนที่มีน้ำครึ่งขวดก็คือคนที่เปิดใจเรียนรู้จากผู้อื่นตลอดเวลา..(ฟุ้งไปไกล)
.
2.#เรื่องการตัดสินใจ
.
มี 2 แบบนะ แบบ Thinking กับแบบ feeling
- พวก Thinking จะสนใจข้อมูล ตรรกะ เป็นกลาง ตรงไปตรงมา ยึดหลักการและเหตุผล คนกลุ่มนี้เหมาะที่จะเป็น ผู้พิพากษา หรือนักวิจัย เพราะมี bias น้อยมาก
-พวก feeling กลุ่มนี้เวลาตัดสินใจก็ใช้เหตุผลและตรรกะเหมือนกัน แต่จุดมุ่งหมายคนละแบบกันกับกลุ่ม
thinking คือ เวลาตัดสินใจเค้าจะเอาเรื่องความรู้สึกหรือค่านิยมในใจ หรือผลกระทบต่อจิตใจต่อผู้อื่นมาใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจด้วยเป็นอย่างมาก
.
อันนี้คร่าวๆนะ มีรายละเอียดเยอะมากเลยเรื่อง ทฤษฎีของ #คาร์ล #จุง เนี่ย (ชักจะดังใหญ่แล้วนะ)
.
Zolo~
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น