#ทำไมผมถึงชอบเข้าสัมนา.?
.
ผมเป็นคนชอบเข้า "#สัมนา"ครับ แพงแค่ไหนผมก็ไป
(ไม่ได้มีกะตังค์เยอะหรอกนะ เก็บออมเอา)ไปแล้วมันได้รู้จักคนที่หลากหลาย ได้รู้จักคนที่คิดไม่เหมือนเรา...มันทำให้ผมได้ฝึก skill ในการพูดคุยกับคนแปลกหน้า...ได้พบทัศนคติในการมองโลกที่หลากหลาย...ได้รู้ว่า แต่ละคนดำรงชีวิตอยู่เพื่ออะไร วัตถุประสงค์ในการชีวิตอยู่คืออะไร แรงขับเคลื่อน (drive) ของเค้าคืออะไร
.
ผมว่ามันเป็นการ"#ลงทุน"ที่คุ้มค่ามากเลยล่ะ...อาจจะเป็นเพราะผมมีคำถามในหัวเยอะกระมัง บางทีเรียนรู้ด้วยตนเอง"มันบ่ม่วน" (มันไม่สนุก)
.
คำถามของผมหลายๆคนอาจจะมองว่า "ปัญหาเพ้อเจ้อ"
ไร้สาระ...แล้วแต่มุมมองอ่ะนะ (ไม่ว่ากัน)
.
#วันนี้เอาไป 3 #คำถาม
.
ผมอยากรู้ว่า
1.#คนเราเกิดมาทำไม.?
#วัตถุประสงค์ที่ผมยังหายใจอยู่คืออะไร.?
.
->ถ้าผมหาคำตอบไม่ได้ผมคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่แท้ ผมต้องรู้ให้ได้ สารภาพตามตรง"คำตอบ" ที่ได้มันหลากหลายมาก บางคนก็บอกว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาเพื่อปีนป่าย บางคนก็บอกว่าเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม บ้างก็ว่าเราเกิดมาเพื่อรับใช้พระเจ้า บางคนก็ไม่ซีเรียสมากนัก เพราะตายไปแล้วเราก็เกิดใหม่ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบใช้ชีวิตชืลล์ๆเพราะเดี๋ยวก็ได้เกิดใหม่
.
ผมก็มึนงงอยู่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในหลากหลายคำตอบที่ได้นั้น มันมีจุดๆนึงที่มันร่วมกันอยู่คือ "#ความดีงาม" เราจะเกิดมาเพื่อจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ แต่ในระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมาย หรือในระหว่างที่ทำตามความประสงค์ของชีวิตอย่าทิ้ง
"ความดีงาม"
.
#2ความถนัดของเราคืออะไร
.
#อาชีพที่ทำอยู่มันเหมาะกับเราไหม.?
.
เอาตรงๆผมน่าจะไปเป็น"นักจิตวิทยาคลีนิค"น่าจะเหมาะกว่าเป็น"นักกฎหมาย"เพราะมันเป็นความสนใจที่ติดตัวมาตามธรรมชาติ ผมไม่ได้บังคับตัวเอง มันชอบของมันเอง ผมคลั่งไคล้ ซิกมุน ฟรอยด์ กับ คาร์ลจุง ขอบคุณทั้งสองคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผม และทำให้ผมได้รู้จักเรื่อง"จิตใต้สำนึก" "จิตไร้สำนึก" "cognitive function...มันสนุกมากๆเลย
.
แต่ก็พยายามมองหา "#ด้านดี"ของสาย "นิติศาสตร์"
ไหนๆก็เรียนมาแล้วไม่อยาก "เสียของ" หาข้อดีมาสนับสนุนวิชาชีพตลอด และพยายามหา"#แรงบันดาลใจ"
ตลอด-ที่ใช้คำว่าพยายามเพราะ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมรักมากที่สด แต่ผมถนัดสายนี้ และที่สำคัญมันสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตเราได้
.
3.#ทำยังไงเราถึงจะเข้าใจผู้อื่น.?
.
การเข้าใจผู้อื่นมันมี 2 level ครับ
Level ที่ 1 คือ เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นว่าเค้ารู้สึกอะไร อย่างไร?
Level ที่ 2 คือ มีอารมณ์ร่วมกับความรู้สึกของผู้อื่น
(บอกตรงๆ Level ที่ 2 ผมไปไม่ถึงจริงๆ ผมไปถึงแค่ Level ที่ 1 )
.
คนก็มีหลาย"ประเภท"แล้วแต่วิธีการจำแนก ถ้าตามศาสตร์ Eneagram จะแบ่งคนออกเป็น 9 ประเภท/ ถ้ายึดหลัก MBTI เค้าจะแบ่งคนออกเป็น 16 ประเภท /ทั้งสองศาสตร์สอนเกี่ยวกับ "แรงจูงใจ"ในการทำสิ่งต่างๆของแต่ละคน (eneagram) ส่วน MBTI จะให้ความรู้เกี่ยวกับ "ทิศทางของพลังงาน" "วิธีการรับรู้ข้อมูล" "วิธีในการตัดสินใจ" และ"style ในการใช้ชีวิต"
.
นอกจากนี้แล้วทั้งสองศาสตร์ยังสอนด้วยว่า เวลาเจอคนแบบนี้ต้องรับมือยังไง...เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายหรอก ในทฤษฎีมันก็ยากระดับนึง แต่ภาคปฏิบัติยากกว่า
.
จบห้วนๆแบบนี้ละกัน / ผมนอนล่ะ หลับฝันดีครับ
.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น