อาการหมดไฟทางวิชาการ (academic burnout)- สาเหตุและแนวทางแก้ไข


.......
ความอยากรู้อยากเห็น ชอบศึกษาค้นคว้า
สนุกกับการเรียนรุ้ กระหายใคร่รู้...มันสำคัญกว่าความรู้เสียอีก (ไอน์ไสตน์ กล่าวไว้ทำนองนี้)
(couriosity is more impotant than knowledeg)
..
ความอยากรู้อยากเห็น เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี / แต่ชีวิตคนเรามันไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดไปหรอกนะ...มันจะมีบางช่วงที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกซังกะตาย ชีวิตช่างไม่มีแรงกระตุ้นอะไรเลย
แววตาเหมือนดั่งปลาตาย (ไร้ซึ่งน้ำหล่อเลี้ยง)
......
#มันเกิดขึ้นได้ยังไง.?
....
มันมาจากหลาย "เหตุผล" แต่ละคนก็มีเหตุผลในการ
"หมดไฟทางวิชาการเป็นของตัวเอง" หมาป่วย แมวตาย
แฟนทิ้ง บลาๆๆๆ
....
ภาวะนี้มันน่ากลัว มันเหมือนหลุมที่คุณตกลงไปแล้วพยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นมา โดยไร้ซึ่งคนช่วยเหลือ
....
แต่มันก็ไม่อับจนกนทางขนาดนั้นหรอกนะ...ปัญหาส่วนใหญ่มันมีทางแก้แหละ...อันนี้เป็นวิธีที่ผมใช้แล้ว
"ได้ผล" มันทำให้ไฟกลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
.....
#อย่างแรกเลย- วิเคราะห์หาสาเหตุให้เจอว่าที่คุณ
เกิดอาการ academic burnout นั้นเกิดจากอะไร
บางคนอาจเกิดจากการกล้ำกลืนฝืนทนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบมันสักเท่าไหร่แต่พระเจ้าดันให้ความถนัดแบบนี้มา เลยต้องศึกษาศาสตร์นั้นๆ / บางคนก็รักในสิ่งที่ทำแต่ดันเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้ตัวเองรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า และหมดไฟ/บางคนได้เรียนหรือทำงานในสิ่งที่ไม่ได้รักไม่ได้ถนัดเลย แต่ต้องทำเพื่อปากท้อง บางคนถึงกับขายจิตวิญญาณกันเลยทีเดียว เอาขั้นแรกให้ได้ก่อนนะอย่าเพิ่งข้ามขั้น
...
#ขั้นที่สอง-#แก้ปัญหาตามสาเหตุ (เกาให้ถูกที่คัน)
...
๑.หากคุณเรียน หรือทำงานในสิ่งที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ถนัดเลย...อย่าเพิ่งเปลี่ยนสายทันที พยายามหาข้อดีของสิ่งที่คุณเรียน สิ่งที่คุณทำ เช่น อืม สิ่งที่เราทำมันสามารถสร้าง impact ต่อสังคมได้มากเลยนะ หรือ อ๋อเจอแล้วศึกษาสิ่งนี้มันมีประโยชน์นี่นา ถ้าคุณหาเจอ ความรัก ความคลั่งใคล้หลงใหลก็จะบังเกิดในหัวใจคุณ คุณจะรู้สึกชุ่มฉ่ำไม่แห้งเหี่ยวอับเฉาอีกต่อไป
     ในทางกลับกัน...ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ก็ปล่อยมันซะ
หาอย่างอื่นทำ "ไม่ไหว ก็บอกไปเลยว่าไม่ไหว-ถ้าไม่ไหว แต่ดันไปบอกไหว สุขภาพคุณจะเสียเอา" คุณอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ หาสิ่งที่คุณถนัดทำ แล้วทำมันอย่างทุ่มเทสุดหัวจิตหัวใจ
.
๒.หากคุณไม่ได้รักสิ่งที่เรียน หรืองานของคุณสักเท่าไหร่ แต่คุณดันถนัดในสิ่งนั้น (ผมอยู่ในกลุ่มนี้)....
คุณต้องออกไปตามหาแรงบันดาลใจล่ะ...ผมเรียนกฎหมายครับ สมัยเรียนผมนี่ ยัง งงๆ กับตัวเองอยู่
นี่ใช่ตัวเราไหมนะ แต่มันก็เรียนได้อ่ะนะ (รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากเกินไปนี่นา) แต่หัวใจมันจะไม่ค่อยชุ่มฉ่ำสักเท่าไหร่ / กำลังใจตอนนั้น คือ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง
(พอเรียนไปสักพัก ผมก็มีความคิดแปลกๆขึ้นในหัว
--> "ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ โลกที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำ โลกที่ศีลธรรมเน่าเฟะ โลกที่ชนชั้น Elite แม่งเห็นแก่ตัว=ความรู้สึกตอนนั้นมันแรงมาก ร้อนแรงเหมือนโดนแดดเดือนเมษายน แผดเผา=คงมีคนคิดแหละไอ้นี่ท่าจะเพี้ยน=>จะคิดแบบนั้นก็ได้ผมไม่ถือ ผมชินแล้ว)
....
แต่จู่ๆพอถึงวัยทำงาน อุดมการณ์ที่เราวาดเอาไว้สวยหรู
มันทำไม่ได้ ผมยังไม่เก่งพอ ปัจจัยหลายๆอย่างมันไม่เอื้อ ความรุนแรงของอารมณ์เริ่มเหือดแห้งลง ชีวิตเริ่มทำตาม loop เดิมซ้ำๆ และแล้วไฟก็เริ่มมอดลง เหลือแสงริบหรี่ เป็นหิ่งห้อยผู้เดียวดาย
....
ผมพยายามตะเกียกตะกายออกจากจุดนั้น..พยายามออกตามหาแรงบันดาลใจ พยายามเอาตัวไปคลุกคลีกับคนที่สนใจในวิชาการแขนงเดียวกันหรือคล้ายกัน
เข้าสัมนา (มันก็ช่วยได้เยอะระดับนึง)
.
สิ่งที่ฉุดผมขึ้นมาอีกอย่างคือ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง
ผมจะคิดมนใจเสมอ เราจะแพ้ไม่ได้นะ เราต้องทำเพื่อพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง (ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเปลี่ยนแปลงโลก--แต่อนาคตก็ไม่แน่...
...
๓.กลุ่มคนที่รัก และถนัดในสิ่งที่ตนเรียนหรือทำงาน
...
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่โชคดีที่สุด คุณโชคดีมากเลยนะที่ได้ศึกษา เรียนรู้ในสิ่งที่รักและถนัด / หากคุณมีอาการหมดไฟ
สาเหตุไม่น่าจะใช่ตัวเนื้อหาที่ศึกษาหรอก หรอก คงเกิดจากปัจจัยอื่นๆนอกจากวัตถุแห่งการศึกษา....คุณก็แค่นั่งลงคิด วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา หรือ อาจจะลา
งานสักอาทิตย์
พักบ้างไรบ้าง อะไรๆน่าจะดีขึ้น
....
รักนะ

ความคิดเห็น